ศูนย์พระเครื่องจตุคาม

ดูรายการวัตถุมงคล  

รุ่น สมบัติจักรพรรดิ์



มงคลแห่งความหมาย รุ่น สมบัติจักรพรรดิ
จักรแก้ว : ช้างแก้ว : ม้าแก้ว : ขุนพลแก้ว : ขุนคลังแก้ว : นางแก้ว : มณีแก้ว

สมบัติจักรพรรดิ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเป็นศิริมงคลสูงสุด ซึ่งมีคู่มาในพระราชาพระมหากษัตริย์เมื่อครั้งโบราณ แม้แต่ในพุทธศาสนาในบท จักกวัตติวัตรสูตร ก็มีกล่าวถึงเรื่องของสมบัติจักรพรรดิ อันประกอบด้วย จักรแก้ว : ช้างแก้ว : ม้าแก้ว : ขุนพลแก้ว : ขุนคลังแก้ว : นางแก้ว : มณีแก้ว ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่ยอมรับของพระราชามหากษัตริย์ ปวงประชาราษฏร์ เมื่อครั้งพุทธกาลที่เจ้าชายสิทธิทัตถะประสูตร ก็ได้รับการทำนายจากพราหมณ์ 2 คนว่าหากบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก และหากทรงอยู่ในเพศฆราวาสก็จะได้เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ครั้นเมื่อทรงออกบวชตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งทรงเป็น จอมจักรพรรดิทั้งทางโลกและทางธรรม ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยมี ธรรมจักร อันเป็นเครื่องหมายแสดงสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนาและองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็น ธรรมราชา และในรอบพระพุทธบาทก็ปรากฏสัญลักษณ์แห่งสมบัติจักรพรรดิอยู่ และเป็นสิ่งสำคัญ สัญลักษณ์แห่งสมบัติจักรพรรดิ ถือว่าเป็นสิริมงคลที่ยิ่งใหญ่สูงสุดในคติความเชื่ออันมีต้นกำเนิดจากชมพูทวีป ในประวัติศาสตร์นั้นมีพระราชามหากษัตริย์ เพียงไม่มากนักที่ได้รับการยกล่องเป็นองค์จักรพรรดิ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่าง ต้องทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม บำเพ็จบารมีอย่างมาก ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอโศกมหาราชในอินเดียที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่ว พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชที่ทรงมีเดชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เป็นต้น ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อครั้งยุคสมัยศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองเมื่อราว 1200 ปีก่อน ก็มีพระราชาที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ ในน่านน้ำอาณาจักรทะเลใต้ได้รับสมญานามว่า จอมจักรพรรดิทะเลใต้ มีเดชานุภาพแผ่ไปทั่วได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไว้จำนวนมากปรากฏหลักฐานดังเช่น บรมพุทโธ พุทธมณฑลแห่งโลกซึ่ง ณ ที่แห่งนี้ก็ปรากฏหลักฐาน ภาพสลักอันเป็นเครื่องหมายแห่งคติความเชื่อ เรื่องสมบัติจักรรรดิ ปรากฏอยู่ชัดเจน

ในยุคปัจจุบันนี้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็ได้รับการยกย่องเทิดพระเกียรติ เป็นพระมหาจักรพรรดิ ดังปรากฏหลักฐานเครื่องหมายอันแสดงด้วยสมบัติจักรพรรดิ ปรากฏเมื่อครั้งปี พ.ศ.2539 ที่มีการจัดซุ้มเฉลิมพระเกียรติขึ้นที่ถนนราชดำเนิน ประกอบด้วย ซุ้มจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้ว มณีแก้ว และปัจจุบันได้จำลองไว้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ ณ อนุสาวรีย์ที่เป็นรูปช้างหินอ่อนตรงหัวถนนราชดำเนิน ตรงข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์ ด้วยเป็นที่ประจักษ์แจ้งในความเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงทศพิธราชธรรมและเป็นพระราชาผู้ทรงธรรมอย่างเอกอุ เป็นที่เคารพเทิดทูนของมวลหมู่อาณาประชาราษฏร์ ตลอดจนพระราชามหากษัตริย์ทั้งปวงในโลกนี้ดังที่มหาชนทั่วโลกต่างสรรเสริญอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า ทรงเป็น จอมจักรพรรดิผู้ทรงเป็นธรรมราชา ท่านพุทธทาส ปราชญ์แห่งไชยา ก็ได้เคยอธิบายเรื่องราวของสมบัติจักรพรรดิไว้และมีภาพที่จำลองไว้ในโรงมหรสพทางวิญญาณ ณ สวนโมกขพลาราม สุราษฏร์ธานี ซึ่งจากภาพถ่ายก็ปรากฏรูปสัญลักษณ์ อันเป็นตัวแทนของรัตนะทั้งเจ็ดเฉกเช่นเดียวกับรูปภาพสลักที่บุโรพุทโธ โดยนัยยะความหมายอันเป็นมงคลของสัตตะรัตนมณีหรือแก้ว 7 ประการ เครื่องหมายแห่งสมบัติจักรพรรดินั้นมีดังนี้

  • รัตนะที่ 1 จักรแก้ว คือ อำนาจ เดชานุภาพ มีสัญลักษณ์เป็นรูป ธรรมจักร หมายถึงมี ธรรม เป็นอำนาจมีคุณธรรมความดีเป็นอำนาจสูงสุดที่เหนือกว่าอำนาจใด
  • รัตนะที่ 2 ช้างแก้ว หมายถึง เครื่องแสดงแสนยานุภาพ และบุญญาบารมีเนื่องจากสมัยโบราณช้างมีความสำคัญในการศึกสงคราม และช้างเผือกยังเป็นช้างมงคลคู่องค์พระมหากษัตริย์
  • รัตนะที่ 3 ม้าแก้ว หมายถึง การคมนาคมการสื่อสารการแผ่ขยายด้วยความรวดเร็ว ความพร้อมพรั่ง หรือของหมู่บริวารข้าแผ่นดิน
  • รัตนะที่ 4 ขุนพลแก้ว หมายถึง ข้าราชการทุกหมู่เหล่าที่เสียสละต่อชาติบ้านเมืองเพื่อองค์พระมหากษัตริย์
  • รัตนะที่ 5 ขุนคลังแก้ว หมายถึง ทรัพยากร ทรัพย์สิน เงินทอง ความมั่งคั่งแห่งแผ่นดิน รวมถึงความอุดมสมบูรณ์
  • รัตนะที่ 6 นางแก้ว หมายถึง คู่ครอง คู่บุญ คู่บารมี คู่คิดที่ดี
  • รัตนะที่ 7 มณีแก้ว หมายถึง สติปัญญาความคิดที่สว่างไสวประดุจแสงแห่งแก้วมณี อันเป็นแก้วสารพัดนึกตลอดจนถึงความสำเร็จบริบูรณ์ ในกิจทั้งปวง

ในแง่ความหมายนั้นตั้งแต่ครั้งโบราณก็ได้มีการจำลองสลักจารึกไว้ด้วยรูปแบบสัญลักษณ์ต่างๆ ตามศิลปะของช่างแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งการอธิบายความหมายนั้นค่อนข้างมีความลึกซึ้งและสามารถแปรประยุกต์ได้เข้ากับทุกยุคทุกสมัยมานับกว่าสองพันปี ในรูปเคารพทางพระพุทธศาสนานั้นได้ปรากฏว่า มีพระพุทธรุปสมัยยุคเชียงแสนสิงห์หนึ่งอยู่หนึ่งองค์ที่มีการสลักรูปรัตนะทั้งเจ็ดหรือพระยาดำรงราชานุภาพได้ขนานนามว่า พระเจ้าจอมจักร และทรงนำมาจากหัวเมืองมณฑลฝ่ายเหนือเพื่อจะประดิษฐานไว้ที่แท่นฐานพระแก้วมรกต แต่ทรงสิ้นชีวิตก่อน ปัจจุบัน พระเจ้าจอมจักร นี้ก็ตกทอดอยู่ภายในราชสกุลสาย ดิศกุล ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ล้ำค่าของแผ่นดิน ความหมายชื่อพระเจ้าจอมจักรนั้นก็มาจากเครื่องหมายรัตนะทั้ง 7 ประการ อันเป็นเครื่องแสดงถึง จอมจักรพรรดิ นั่นเอง การจัดสร้างจตุคามรามเทพ รุ่น สมบัติจักรพรรดิ นี้ก็ได้ค้นคว้าศึกษาจึงได้นำสัญลักษณ์แห่งสมบัติจักรพรรดิมาประดิษฐานไว้บริเวณแท่นฐานขององค์จตุคามรามเทพ เพื่อแสดงถึงการเทิดทูนเคารพในความยิ่งใหญ่ของ จอมจักรพรรดิแห่งทะเลใต้ ในอดีต ทั้งยังเป็นเครื่องหมายที่มีความสิริมงคลหากประดิษฐานอยู่ที่ใด ย่อมเกิดมงคลแก่สถานที่นั้นๆ ยังเป็นเครื่องเตือนสติสอนใจทุกคนให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในหลักธรรม เมื่อทำได้ ธรรมจักร อันเป็นรัตนะประการสำคัญของทางโลกและทางธรรมก็จะขับเคลื่อนให้บังเกิดมงคลรัตนะในประการต่อมา และเต็มเปี่ยมด้วยความหมายอันเป็นมงคล เฉกเช่นเมื่อครั้งโบราณ รูปประติมากรรมจตุคามรามเทพ รุ่น สมบัติจักรพรรดิ จึงเป็นประติมากรรมแห่งยุคสมัยที่ได้รังสรรค์สร้างขึ้นอย่างงดงาม

รูปแบบวัตถุมงคลของสายจตุคามรามเทพตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการสร้าง โดยเฉพาะน้ำตาลแว่นหรืออีกหลายอย่างก็ตาม ล้วนแต่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องโหราศาสตร์ทั้งสิ้นหากจะอธิบายลึกลงไปก็คงใช้เนื้อที่มากแต่สำหรับผู้ที่ศึกษาในเรื่องระบบ ศาสตร์สัญลักษณ์ ก็จะมีความเข้าใจได้ง่ายในเรื่องของน้ำตาลแว่นหรือพระผงสุริยัน - จันทรา ดวงตราพญาราหูนั้นมีการกำหนดให้ราหูแปดตน วางในตำแหน่งมหาทักษาคุมในแต่ละวัน ตั้งแต่วันอาทิตย์ (1) - จันทร์ (2) - อังคาร (3) - พุธ (4) - เสาร์ (7) - พฤหัสบดี (5) - พุธกลางคืน (พระราหู) (8) - ศุกร์ (6) เวียนรอบโคจรเป็นวัฏจักรแห่งกาลเวลา วัน - เดือน - ปี มีความเกี่ยวกันกันอย่างลึกซึ้ง ตรงจุดศูนย์กลางก็มีความหมายเป็นที่สถิตย์แห่งองค์ พระเทวราชโพธิสัตว์จตุคามรามเทพ ในทางโหราศาสตร์เรียกว่าตำแหน่ง พระเกตุ ซึ่งหลักการออกแบบวางตำแหน่งแบนี้เป็นเช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ที่สมุทรปรากการ ที่มีการวางตำแหน่งเทวดานพเคราะห์ตามหลักมหาทักษาในแต่ละประตูทางเข้า และตำแหน่งจุดศูนย์กลางถือว่ามีความสำคัญและทรงพลัง

รูปแบบของจตุคามรามเทพ รุ่น สมบัติจักรพรรดิ

องค์กลางเป็นรูปจำลองของ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จตุคามรามเทพ จากบรมพุทโธ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัยตามหลักของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในอาณาจักรทะเทใต้ และแผ่บารมีออกไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับด้านหลังวางรูปแบบให้มีความสัมพันธ์กับด้านหน้าอย่างลงตัวประกอบด้วย ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ อักขระหัวใจ ธาตุทั้ง 4 เทวดานพเคราะห์ในตำแหน่งเกษตราธิบดี และตำแหน่งมหาทักษาเทวาพิทักษ์ เป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวของสายจตุคามรามเทพอย่างชัดเจนที่สุด

 

 

 

 

 

 

เรื่องของพระปิดตาพังพะกาฬเมืองนครศรีธรรมราชนี้เป็นเรื่องที่มีการอธิบายกันไปในหลายแนวทาง เช่นว่ากันว่า ปิดตาพังพะกาฬ เป็นชื่อนักรบกล้าผู้มีความเก่งกาจตอนเด็กเล่นกันเพื่อนๆ แล้วเอาไม้มาแสดงการตัดหัวปรากฏว่าหัวขาดจริงๆ และเป็นขุนพลกู้บ้านกู้เมือง ก็เป็นอีกตำนานความเชื่อแต่จะมาเป็นพระปิดตาพังพะกาฬได้อย่างไรบ้างก็ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะจุติมาเป็นองค์จตุคามก็ว่ากันไปก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคนไม่มีใครถูกใครผิด เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ สำหรับในที่นี้จะขออธิบายเรื่องของพระปิดตาพังพะกาฬว่าในด้านรูปแบบนั้น พระปิดตาพังพะกาฬมีพบทั่วไปในหลายที่ของนครศรีธรรมราชในรูปบอง พระปิดตา และมีงูอยู่ด้วย หากจะใช้หลักโหราศาสตร์มาธิบายนั้นจะแยกอธิบายดังต่อไปนี้ พังพระกาฬ คำว่า พัง คือการทำลาย พระกาฬ คือความมืดมิด ความน่ากลัว ความตาย คำว่า พระกาฬ ยังพ้องกับคำว่า กาล ที่ความหมายถึง กาลเวลา วัฎจักรกาลเวลานั้นคือสิ่งที่น่ากลัวและมนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธได้ กาลเวลากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นอมตะไม่มีวันตายอักนัยยะหนึ่งก็คือ พระราหู ผู้ทำให้เกิดความมืดมิด กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างกาลเวลาโคจรหมุนเวียนเปลี่ยนไป ก่อให้เกิดวัน เดือน ปี สรรพสิ่งล้วนแต่มิอาจเอาชนะกาลเวลาหรือพญาราหู ผู้เป็นอมตะได้ คำว่า พังพระกาฬ คือการทำลายความืดมิด เอาชนะวัฏจักรแห่งกาลเวลา ในด้านโหราศาสตร์การโคจรของ ราหู (8) ในดวงชะตาชีวิตทุกคนนั้นจะส่งอิทธิพลให้บังเกิด คราส หรือความมืดมิดในดวงชะตาส่งผลดีหรือร้ายที่มิอาจฝ่าฝืนได้ พระราหูจะโคจรย้ายราศีทุก 1 ปีครึ่ง หรือ 18 เดือน หากโคจรครบรอบจักรราศี 12 ราศี จะใช้เวลาถึง 18 ปี ยามที่พระราหูโคจรผ่านแต่ละราศีจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นทั้งในตัวบุคคลและบ้านเมือง พระราหูเป็นตัวแทนแห่ง ความมัวเมา ความลุ่มหลง กิเลศตัญหาทั้งปวง พังพระกาฬ คือการที่จะทำอย่างไรให้เป็นนักรบผู้พิชิตความมืดมิด มัวเมาได้ จึงเป็นที่มาของพระปิดตาพังพระกาฬ ตามหลักโหราศาสตร์ พระราหู (8) มีคู่มิตรผู้ยิ่งใหญ่คือ พระเสาร์ (7) สัญลักษณ์ของพระเสาร์ คือ งูใหญ่ หรือจะเป็น นาคปรก ก็ได้ ดังคำกล่าวว่า เสาร์กับราหูเป็นคู่มิตรต่อกัน คือพวกเดียวกันนั่นเอง

ในเรื่องดาวพระเคราะห์ตามหลักโหราศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1.) กลุ่มดาวศุภเคราะห์ หรือดาวดี ประกอบด้วยพระพฤหัสบดี (5) พระอาทิตย์ (1) พระจันทร์ (2) พระพุธ (4) พระศุกร์ (6) มีพระพฤหัสบดี (5) เป็นประธานฝ่ายศุภเคราะห์ 2.) กลุ่มดาวบาปพระเคราะห์ หรือฝ่ายดาวร้าย ประกอบด้วยพระเสาร์ (7) พระราหู (8) พระอังคาร (3) มีพระเสาร์ (7) เป็นประธาน ซึ่งอานุภาพความร้ายกาจของพระเสาร์ (7) นั้นรุนแรงเด็ดขาด ในทางโหราศาสตร์มีคำอธิบายไว้ว่า โทษทุกข์ ทายเสาร์ มัวเมาทายราหู การโคจรของพระเสาร์เจ้าแห่งโทษทุกข์จะใช้ระยะเวลาโคจรแต่ละราศีทุก 5 ปีครึ่งหากครบ 12 ราศีใช้เวลาถึง 30 ปี ดวงชะตาชีวิตใครหรือบ้านเมืองหากเจอภัยจากพระเสาร์เข้าไปก็มักจะมีอันตรายมากที่สุด อาจถึงคราวสิ้นยศ สิ้นตำแหน่ง โยกย้าย พลัดพรากหรืออาจถึงชะตาขาด ได้ แต่ทั้งนี้คุณสมบัติของดาวมีทั้งสองด้านคือทั้งดีกับร้าย พระปิดตาพังพระกาฬ แสดงออกในรูปของงู อันหมายถึง พระเสาร์ (7) องค์พระปิดตา คือตัวแทนแห่งพระพฤหัสบดี (5) ยังหมายถึงผู้ทรงศีล พระพุทธสติปัญญาอันบริสุทธิ์ทรงอานุภาพแห่ง ธรรมะ อย่างเต็มเปี่ยมด้วยหลักการนี้พระพฤหัสบดี (5) จึงเป็นตัวแทนแห่งธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่จะสามารถเอาชนะความมัวเมา ความมืดมิดแห่งพระกาฬหรือพระราหูได้ ทั้งพระเสาร์ (7) ซึ่งมีสัญลักษณ์ งู อันเป็นคู่มิตรกับพระราหู (8) เสมือนกับการแก้เคล็ดกัน การบูชาพระราหูก็เพื่อแก้เคล็ดกับพระเสาร์และ การบูชาพระก็เพื่อให้เกิดความมีสติ คิดดี ทำดี ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เอาชนะ กิเลส ความมัวเมา เพราะแนวทางของพระพุทธองค์เท่านั้นที่เป็นหนทางเอาชนะกาลเวลาคือการไม่กลับมาสู่วัฏจักรแห่งกาลเวลา การเกิด แก่ เจ็บ ตาย รูปพระปิดตามีความหมายว่าการบำเพ็ญเพียรปิดป้องจากกิเลสทั้งปวงลดละวางในสิ่งไม่ควรทำดี คิดดี มีสติ ก็สามารถที่จะเอาชนะหรือ พังพระกาฬ ได้อย่างแท้จริง บรรพบุรุษชาวนครศรีธรรมราชโบราณมีความรู้ ชำนาญทั้งพุทธศาสตร์ โหราศาสตร์ จึงได้สร้างรูปสัญลักษณ์เป็นปริศนาธรรม พระปิดตาพังพะกาฬฝากไว้ให้คนรุ่นหลังเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติสอนใจมานานนับหลายร้อยปี ทั้งยังเป็นมงคลวัตถุที่แก้ไขภัยร้ายจากดวงดาวที่ให้โทษต่อดวงชะตาอย่างเช่น พระเสาร์ (7) และพระราหู (8) ที่โคจรอยู่เป็นนิรันดร์ โหราศาสตร์เปรียบเสมือนแพทย์คอยตรวจดวงชะตาธรรมะของพระพุทธเจ้า คือ โอสถทิพย์ที่จะรักษาได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นสัจธรรมความจริงที่อธิบายได้พิสูจน์ได้ทุกเรื่อง ดังนี้คือความหมายแห่งพระปิดตาพังพระกาฬในอีกมุมมองหนึ่ง อนึ่ง พระเสาร์ (7) พระราหู (8) และพฤหัสบดี (5) ได้รับฉายาว่า สามผู้ยิ่งใหญ่ ทางโหราศาสตร์หากโคจรหรือส่งอิทธิพล ถึงราศีใดแล้วไม่ว่าทับลัคนา เล็กลัคนาโยคหน้าโยคหลังก็ตาม จะส่งผลตามระยะเวลาที่โคจรอยู่จะดีหรือร้ายต่อเจ้าของดวงชะตาทั้งบุคคลและบ้านเมืองอย่างใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานดวงชะตาเป็นสำคัญ แต่ที่แน่ๆ คือมีผลกระทบแน่นอนตามกฎของแรงดึงดูดในจักรวาล จะกระทบมากน้อยแตกต่างกันที่เรียกว่า ดวงขึ้น ดวงตก คือมีดีร้านหมุนเวียนสลับเปลี่ยนไป แต่ทั้งนี้ก็ยากที่ทุกคนจะรู้ และแก้ไขได้ทันด้วยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ที่มีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ปี พ.ศ.2549 จะมีดาวใหญ่ย้ายราศี 2 ดวง ด้วยกันคือ พระราหู (8) จะยกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีกุมฎ์ ในวันที่ 29 กันยายน 2549 พระพฤหัสบดี (5) อยู่แต่ละราศี 1 ปีก็จะครบกำหนัดยกจากราศีตุลย์เข้าสู่ราศีพฤศจิก ส่วนพระเสาร์ (7) เจ้าแห่งโทษทุกข์ ยังคงอยู่ที่ราศีกรกฎจะครบกำหนดยกย้ายในปี 2550 ใครที่กระอักเลือดเพราะดาวเสาร์คงต้องอดทนกันหน่อย ในทางโหราศาสตร์จึงต้องมีการแนะนำให้ระมัดระวังและมีการแก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์พระเคราะห์ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธีทั้ง เข้าวัด เข้าวา ถือศีล ทำบุญ ทำทาน หาเครื่องราวของขลังมาบูชา แต่ทุกอย่างควรประกอบกันจึงจะผ่อนหนักเป็นเบา บรรเทาโทษทุกข์ได้และในทางกลับกันก็จะเป็นการช่วยเหลือเกื้อหนุนเสริมส่งคุ้มครองดวงชะตาชีวิตให้ดียิ่งขึ้นก็ได้ วัตถุมงคลเป็นเสมือนเครื่องรับพลังงานดาวนพเคราะห์ต่างๆ เพื่อปรับสมดุลในดวงชะตาชีวิต จึงเป็นคำกล่าวว่า ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เป็นพลังงานบางอย่างที่จับต้องไม่ได้แต่สัมผัสได้ด้วยจิต รูปแบบวัตถุมงคลพระปิดตาพังพระกาฬและจตุคามรามเทพรุ่นนี้ จึงถือพร้อมด้วยโหราศาสตร์ ผสานงานศิลป์ ไม่เหมือนใคร

รูปแบบยันต์ด้านหลังเหรียญและน้ำตาลแว่น

รูปแบบยันต์ด้านหลังเหรียญและน้ำตาลแว่น ที่ใช้โหราศาสตร์ผสานหลักสัจธรรมเป็นเครื่องหมายแห่ง จักรวาลมณฑล ที่มาแห่ง พลังจักรวาล อันล้ำลึก ด้านหลัง คือผังพลังจักรวาลมีสัมพันธ์และส่งพลังดึงดูดซึ่งกันและกันตามหลักโหราศาสตร์ ประกอบด้วย 1. สัญลักษณ์ดาวฤกษ์ 27 กลุ่ม ดังนี้ 1) อัศวินีฤกษ์ 2) ภรณีฤกษ์ 3) ฤกติกาฤกษ์ 4) โรหิณีฤกษ์ 5) มฤคศิรฤกษ์ 6) อารทราฤกษ์ 7) ปุนีพสุฤกษ์ 8) บุษยฤกษ์ 9) อาศเลษาฤกษ์ 10) มาฆฤกษ์ 11) บุรพผลคุนีฤกษ์ 12) อุตรผลคุนีฤกษ์ 13) หัสตฤกษ์ 14) จิตราฤกษ์ 15)สวาติฤกษ์ 16) วิศาขาฤกษ์ 17) อนุราธาฤกษ์ 18) เชษฐาฤกษ์ 19) มูลาฤกษ์ 20) บุรพษาฒฤกษ์ 21) อุตราฆาฒฤกษ์ 22) ศรวณะฤกษ์ 23) ธนิษฐาฤกษ์ 24) ศตภิษัชฤกษ์ 25) บุรพภัทรบทฤกษ์ 26) อุตรภัทรบทฤกษ์ 27) เรวดีฤกษ์ 2. ธาตุทั้ง 4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม 3.วงกลมด้านในวางรูปแบบเลขดาวพระเคราะห์อันเป็นตำแหน่งเกษตราธิบดี มีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคง

ธาตุ 4

ความสำคัญของธาตุ นะ คือ ธาตุน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต อาโปธาตุ โม คือ ธาตุดิน ปถวีธาตุ พุท คือ ธาตุไฟ ให้อุ่นกาย รักษากาย เตโชธาตุ ธา คือ ธาตุลม หล่อชีวิต วาโยธาตุ ยะ คือ อากาศธาตุ อากาศมีที่ใดๆ เป็นที่นั้นแล นะ คือ ธาตุน้ำ 12 โม คือ ธาตุดิน 21 พุท คือ ธาตุไฟ 6 ธา คือ ธาตุลม 7 ยะ คือ อากาศธาตุ 10 คุณพระพุทธเจ้า 56 นี้ ถ้าแบ่งออกเป็น 2 คงเป็น 28 และเอาอากาศธาตุ 10 บวกเข้ารวมเป็น 38 คือ คุณพระธรรมเจ้า และถ้าแบ่งคุณพระพุทธเจ้า 56 แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ก็จะได้ 14 นั่นคือ พระสังฆเจ้า คุณพระพุทธเจ้า 56 คุณพระธรรมเจ้า 38 คุณพระสังฆเจ้า 14 สิริรวมเป็น 108 ให้บุคคลทั้งหลายพึงรู้จักคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า ดังนี้ ในธาตุทั้ง 5 กองนี้ โดยเฉพาะอากาศธาตุนั้นมีอยู่โดยรอบ ในส่วนอันว่างเปล่า ฉะนั้นจึงให้พิจารณาแต่ธาตุ ดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ รวมสี่กองเท่านั้น อาโป ธาตุน้ำ (นะ) นะ ปถวี ธาตุดิน (โม) มะ เตโช ธาตุไฟ (พุท) พะ วาโย ธาตุลม (ธา) ทะ 5. นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง 4 นะ คือ พระกุกกุสันโท โม คือ พระโกนาคม พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระสมณะโดดม ยะ คือ พระศรีอารียะเมตตรัย 6.นะ มะ พะ ทะ ธาตุทั้ง 4 นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดออกจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ 7. จะ ภะ กะ สะ มะ มะ พะ ทะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุ 4 กองคือ เมื่อจะตั้งธาตุทั้ง 4 กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือ ธาตุพระกรณีตั้งกำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุ ลงไปอีกทีหนึ่ง

9. หลักมหาทักษาเทวาพิทักษ์ มนุษย์เมื่อเกินมาในวันใดใด จะถือกันว่าเทวดานพเคราะห์ในวันนั้นจะเข้าเสวยอายุปกปักรักษาไปจบครบระยะเวลาตามกำลังของเทวดานพเคราะห์องค์นั้นแล้ว เทวดานพเคราะห์องค์ต่อมาก็จะเข้าทำหน้าที่ปกปักรักษาเสวยอายุต่อเนื่องกันไปเวียนรอบไปจนครบกำลังเทวดาทุกพระองค์ ตามหลักมหาทักษาเวียนขวาไปตามลำดับ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย เปรียบเสมือนเทวดาประจำตัวคอยพิทักษ์รักษาบุคคลตั้งแต่เกิดไปจนตาย โบราณจึงต้องจัดให้มีพิธีทำบุญรับส่งเทวดานพเคราะห์ที่เข้ามาเสมออายุ เพื่อให้ท่านได้อัญเชิญเทวดาประจำวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ พระราหู พระเกตุ ซึ่งแทนด้วยตัวเลขอันเป็นเครื่องหมายว่า บุคคลทุกคนสามารถบูชาเหรียญนี้ได้ตลอดชีวิต โดยจะมีเทวดานพเคราะห์ คอยปกป้องคุ้มครองตลอดเวลา นอกจากนั้นในตำแหน่ง เทพเจ้าดาวเกษตรยังเป็นตำแหน่งที่ให้คุณส่งเสริมเกื้อหนุนดวงชะตาชีวิตอย่างดีที่สุด ตามหลักโหราศาสตร์เหรียญนี้รูปแบบด้านหลังเป็นการผสานกันอย่างลงตัว และมีความสมดุลในทุกศาสตร์ เป็นการจำลองจักรวาลทั้งดวงดาวฤกษ์ที่ให้พลังงานแสง ดาวนพเคราะห์ที่ส่งแรงดึงดูดต่อทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ธาตุ ทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นต้นกำเนิดมวลชีวิตทุกอย่างโคจรสัมพันธ์กันเป็นเครื่องรับพลังจาก จักรวาล สู่ตัวผู้ครอบครอง เสมือนเครื่องรับส่งคลื่นวิทยุ ทีวีชั้นยอด เป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความหมายประกอบขึ้นจากหลายศาสตร์มาผสมผสานกัน ก่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ของวัตถุมงคลสายจตุคามรามเทพ และมีเอกลักษณ์ที่เด่นชัด

เทคโนโยลี ผสานงานศิลป์
เหรียญอันทรงค่าแห่งสายจตุคามรามเทพ
เพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์
ผลิตจากโรงกษาปณ์อันดับหนึ่งของโลก โมเน่ร์ เดอ ปารีส์ ฝรั่งเศส

ในการผลิตเหรียญจตุคามรามเทพและเหรียญพระปิดตาพังพะกาฬ รุ่นสมบัติจักรพรรดิ ในครั้งนี้ทางโรงกษาปณ์โมเน่ร์ เดอ ปารีส์ ได้ให้เกียรติคณะกรรมการโดยให้คณะกรรมการเข้าชมกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่การทำแม่พิมพ์ซึ่งต้นแบบนั้นส่งไปจากเมืองไทย จากนั้นทางฝ่ายช่างเทคนิคจะนำต้นแบบไปทำเป็นปูนพลาสเตอร์ และนำเข้าเครื่องสแกนด้วยแสงเลเซอร์ เข้าสู่ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้เห็นรายละเอียดของเหรียญทุกจุดสามารถย่อขยายหรือดูทีละส่วนได้ชัดเจนทำให้มองเห็นจุดที่ต้องแก้ไข เช่น ความเรียบของผิว ริ้วรอยต่างๆ จะปรากฏให้เห็นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเด่นชัด หากต้องการแก้ไขก็สามารถแก้ไขตกแต่งได้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ทันที เมื่อสรุปแบบในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ทางนายช่างเทคนิคก็จะสั่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่เครื่องจักรที่ใช้ในการแกะต้นแบบพิมพ์เป็นโลหะที่ใช้หัวเข็มแกะขนาดเล็กมาก โดยต้นแบบที่แกะนี้จะมีขนาดใหญ่ประมาณ 4 นิ้ว ต้นแบบที่ได้จะมีลักษณะนูนสูงค่อนข้างมาก เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว จะต้องนำต้นแบบที่ได้มาสู่ขั้นตอนการเก็บรายละเอียดด้วยมือ (Hand made) จึงจะนำต้นแบบโลหะที่ได้ไปทำการย่อส่วนด้วยเครื่องทำพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง ให้ได้ขนาดที่ต้องการคือ ขนาด 3 ซม. เท่ากับเหรียญจริงที่ต้องการจากขั้นตอนนี้ ก็จะต้องมีการทำแม่พิมพ์สำหรับปั๊มเหรียญตัวจริง โดยจุดเด่นอีกประการของโรงกษาปณ์โมเน่ร์ เดอ ปารีส์ คือในแต่ละเนื้อโลหะเช่น เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้อบรอนซ์ ฯลฯ ทางโรงงานจะแยกบล๊อกแม่พิมพ์เฉพาะแต่ละตัว ไปในแต่ละเนื้อโลหะ ไม่นำมาปั๊มปะปนกัน จุดนี้จะทำให้ได้งานที่มีคุณภาพจึงนับเป็นความละเอียด พิถีพิถัน และทรงคุณค่า ทุกเหรียญจะมีหมายเลขและโค๊ดของโรงกษาปณ์พร้อมใบรับรองการผลิตหรือใบเซอร์ทิฟิเกท เหรียญที่ผลิตจากโมเน่ร์ เดอ ปารีส์ จะถูกส่งเข้าสู่พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์โลก บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ทุกขั้นตอนการผลิต



กำหนดพิธีกรรม รุ่น สมบัติจักรพรรดิ
มหาพิธียิ่งใหญ่เป็นตำนานแห่งสายจตุคามรามเทพ ณ เมืองนครศรีธรรมราช ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2549

:: ครั้งที่ 1 บวงสรวงเททองหล่อนำฤกษ์ และมังคลาภิเษก เนื้อว่านมงคลมวลสารชนวนโลหะ ปั๊มพระเนื้อผงในพิธี ณ ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช :: ครั้งที่ 2 พิธีวัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช

  • ภาคเช้า
    • - พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าโบสถ์พราหมณ์ ประกอบพิธีบวงสรวงเทวดาบูชาฤกษ์
    • - พระพรหมเมธี วันเทพสิรินทราวาส ประธานจุดเทียนชัย
    • - พระสงฆ์เปรียญ 9 ประโยค 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ธัมมจักรกัปวัฏนะสูตรปฐมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธองค์
    • - พระสงฆ์ 2549 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    • - ถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์ 2549 รูป
  • ภาคบ่าย
    • - พระเกจิอาจารย์นั่งปรก 32 รูปพิธีนพเคราะห์อัญเชิญเทวดานพเคราะห์สถิตย์ในวัตถุมงคล
    • - บุคคลที่เป็นตัวแทนในวันต่างๆ จุดเทียนเทวดานพเคราะห์
    • - พระมหาเถระชินติ้ง วัดโฝวกวงซัน (เป็นวัดพระพุทธศาสนามหายาน อันดับหนึ่งของโลก) ประธานมูลนิธิแสงพุทธธรรมสากล เจริญพุทธมนต์ ฝ่ายมหายาน อัญเชิญคาถามหากรุณาธารณีสูตร มหาปรัญญาปารมิตาสูตร มหาสุรางค์โคมสูตร
    • - พระราชธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ ดับเทียนชัย

:: ครั้งที่ 3 พิธีจตุมหาราชเทวาภิเษก ณ วิหารจตุคามรามเทพ วัดนางพระยา ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช (2 วัน)

  • วันแรก / ภาคเช้า
    • - ประกอบพิธีบวงสรวงเทวดาบูชาฤกษ์ และอัญเชิญครูบาอาจารย์ (ไหว้ครู)
    • - พระเทพภาวนาวิกรม (เจ้าคุณธงชัย) จุดเทียนชัย
    • - พระพิธีกรรมวัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษฎ์ 4 รูป สวดมหาสมัยสูตร อัญเชิญเทพเทวาในอนันตจักรวาล พระสูตรนี้ถือกันว่าเป็นพระสูตรของเหล่าเทพเทวา
    • - พระเกจิอาจารย์นั่งปรก 8 รูป
  • ภาคบ่าย
    • - พระพิธีกรรม 4 รูป วัดนครสวรรค์ สวดคาถาอิติปิโสรัตนมาลา
    • - พระเกจิอาจารย์ 8 รูป นั่งปรก
    • - พระพิธีกรรม วัดพระบรมธาตุ 4 รูป สวดภาณวาร
    • - พระเกจิอาจารย์ 8 รูป นั่งปรก
    • - พระพิธีกรรม วัดสุทัศน์ 4 รูป สวดคาถาทิพย์มนต์ มหาสาวัง อุณหิสวิชัย
    • - พระเกจิอาจารย์ 8 รูป นั่งปรก
  • วันที่สอง / ภาคเช้า
    • - บวงสรวงเทวดาบูชาฤกษ์ โดยพราหมณ์โชติ
    • - พิธีโหรหลวงนวคหยุสธมม์ (นพเคราะห์หลวง)
    • - ถวายภัตตาหารเพล
  • ภาคบ่าย
    • - พระพิธีธรรม 16 รูป ประจำ 4 ทิศๆ ละ 4 รูป สวดคาถามหาราช อัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ผู้คุ้มครองโลกมนุษย์และสวรรค์
    • - พระเกจิอาจารย์ 16 รูป นั่งปรก
    • - พระครูภาวนาโสภณ วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี ประกอบพิธีกรรมอ่านประโองการประกาศเทวดา
    • - พระใบฎีกาปราณพ (หลวงหนุ่ย) วัดคอหงศ์ ดับเทียนชัย







:: หมายเหตุ

  • กำหนดวัน เวลา และรายละเอียดเพิ่มเติม จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
  • อนุญาตให้วัด หน่วยงาน บุคคลทั่วไปนำวัตถุมงคลเข้าร่วมพิธีได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะจัดพื้นที่ไว้ให้ โดยท่านต้องดูแลเองและสามารถนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อการกุศลได้หลังจากพิธีเสร็จแล้ว ติดต่อได้ที่คณะกรรมการ โทร 0-1643-5245

:: พิธีเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม

  1. วันที่ 29 กันยายน 2549 ณ อุโบสถวัดไตรมิตรวิทยาราม พิธีรับส่งพระราหูตามหลักเทวดานพเคราะห์ ซึ่งตรงกับวันที่พระราหูจะโคจรยกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีกุมภ์
  2. วันที่ 22 ตุลาคม 2549 ณ อุโบสถ วัดไตรมิตรวิทยาราม พิธีรับส่งพระพฤหัสบดี (5) ตามหลักเทวดานพเคราะห์ซึ่งเป็นวันที่พระพฤหัสบดี (5) จะยกจากราศีตุลย์เข้าสู่ราศีพฤศจิก