ศูนย์พระเครื่องจตุคาม

ดูรายการวัตถุมงคล  

รุ่นบูรณะศาลหลักเมืองปี 2547



วัตถุมงคล รุ่น บูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 นับเป็นวัตถุมงคลสำคัญยิ่งรุ่นหนึ่งที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช มือปราบหนังเหนียวฆราวาสจอมขมังเวทย์วัย 108 ปี ได้ดำริให้จัดสร้างขึ้นโดยมีประสงค์เจตนาเพื่อร่วมสร้างสาธารณะกุศลต่างๆ ร่วมสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญวัดนาสน ซึ่งในอดีตเคยเป็นวัดร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเจตนาตรงกับทางเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช ซึ่งมีโครงการที่จะ บูรณะศาลหลักเมือง ดังนั้นรายได้ส่วนหนึ่งจากผู้มีจิตศรัทธาจะได้นำไปสมทบทุนมอบเพื่อบูรณะศาลหลักเมือง ตามโครงการของทางเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช ดังนั้น พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จึงได้มอบหมายให้นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช ร่วมกับพ่อค้าประชาชนผู้มีจิตศรัทธาดำเนินการ เพื่อให้บรรลุกุศลเจตนาดังกล่าว วัตถุมงคลรุ่น บูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 ที่จัดสร้างขึ้นในครั้งนี้ทุกแบบทุกพิมพ์ล้วนแล้วแต่มีความสวยงามลึกซึ้งอันเกิดจากฝีมือ การสร้างสรรค์อย่างประณีตพิธีพิถัน โดยคณะช่าง ผู้ชำนาญการซึ่งมีผลงานในระดับประเทศ พิธีมหามงคล ครั้งที่ 1 ได้ประกอบพิธีบวงสรวงเททองตามแบบโบราณจารย์ ณ บริเวณหน้าวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2547 นับเป็นพิธีมหามงคลที่เพรียบพร้อมสมบูรณ์ทั้งทางพุทธและพราหมณ์ ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ขององค์พระประธาน ในวิหารหลวง และรูปปั้นองค์ท้าวจตุคามองค์ท้าวรามเทพ ในวิหารพระทรงม้า เวลา 06.19 น. ประกอบพิธีขอไฟพระฤกษ์จากองค์ท้าวจตุคาม-องค์ท้าวรามเทพ ในวิหารพระทรงม้าเมื่อนำมาประกอบพิธีบวงสรวงเททอง เวลา 08.39 น. พราหมณ์ทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญเทพยาดาอารักษ์ทั่วท้องจักรวาลและอัญเชิญองค์ท้าวจตุคามองค์ท้าวรามเทพให้มาร่วมอำนวยอวยชัยแก่พิธีมหามงคลครั้งนี้ เวลา 09.19 น. พระสงฆ์ผู้ทรงคุณจำนวน 9 รูป สวดเจริญพระพุทธมนต์ เวลา 10.19 น. พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง 9 รูป ขึ้นธรรมมาสต์นั่งปรกประจำทิศประกอบด้วย พ่อท่านเนียม วันบางไทร, พ่อท่านวรรณ วัดเสาธงทอง, พระครูกาแก้ว วัดหน้าพระธาตุ, พระครูกาชาด วัดหน้าพระลาน, พ่อท่านสร วัดมะนาวหวาน, พ่อท่านชอบ วัดหน้าพระธาตุ, พ่อท่านชม วัดศาลาไพ, พ่อท่านเกษม วัดชะเมา และพ่อท่านหรั่ง สำนักสงฆ์ห้วยเตง เวลา 10.49 น. มหาฤกษ์มงคล พระสงฆ์ผู้ทรงคุณ 9 รูป สวดพระชัยมงคลคาถา คณะพราหมณ์ลั่นฆ้องชัย เป่าสังฆ์ แกว่งบัณเฑาะ วงดุริยางค์จากโรงเรียนกัลยาณีฯ บรรเลงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย คณะช่างประกอบพิธีเททอง โดยมีพ่อท่านเนียมวัดบางไทรเป็นองค์ประธาน เวลา 11.29 น. พระเกจิอาจารย์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ โปรยข้าวตอกดอกไม้ พิธีมหามงคล ครั้งที่ 2 กำหนดพิธีบวงสรวงมหาพุทธาภิเษก ณ.วิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2547 โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในดินแดนแคว้นสุวรรณภูมิ มากมายนั่งปรกปลุกเสก พิธีมหามงคล ครั้งที่ 3 ประกอบพิธีปลุกเสกประจุพุทธาคมกลางทะเลลึก อำเภอปากพนัง ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2547 พิธีมหามงคล ครั้งที่ 4 ประกอบพิธีปลุกเสกประจุพุทธาคม ณ.วิหารสูง สิริมงคลสมโภชใหญ่ในศาลหลักเมือง นครศรีธรรมราช ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2547

ชนวนมวลสาร เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าวัตถุมงคลที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จัดสร้างจะต้องมีความเพรียบพร้อมสมบูรณ์ในด้าน ฤกษ์ผานาที ในด้านพิธีกรรม และในด้านชนวนมวลสาร ดั้งนั้นจึงกล่าวได้ว่าวัตถุมงคลรุ่น บูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 จึงมีชนวนมวลสาร ศักดิ์สิทธิ์ของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ผสมผสานอยู่มากมาย เป็นชนวนมวลสารที่มีการปลุกเสกทับถมโดยตลอดจนมาถึงการสร้าง วัตถุมงคล รุ่นขุนพันธ์พุทธาคมเขาอ้อ และมงคลจักรวาลพุทธาคมเขาอ้อ ก็ได้ถูกนำมาผสมผสานไว้ในวัตถุมงคล รุ่นบูรณะหลักเมือง นครศรีฯ 2547 อย่างเต็มที่ทั้งโลหะชนวน และผงมวลสารศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

 

 

 

ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ ย้อนหลังไปในราวปี พ.ศ.1040 ในขณะนั้นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรสุวรรณภูมิ คือ พระเจ้าจันทรภาณุ มีพระบารมีบุญญาธิการมาก ได้แผ่อำนาจขยายอาณาเขตออกไปถึงประเทศอินเดีย ยึดประเทศอินเดียได้และอยู่ปกครองจนเป็นพระมหาราชของอินเดีย ไม่กลับมายังสุวรรณภูมิเป็นเวลากว่า 20 ปี พระโอรสสองพี่น้องของพระเจ้าจันทรภาณุ คือ ขุนอินทรไสเรนทร์ และ ขุนอินทรเขาเขียว เห็นบ้านเมืองทรุดโทรมลงขาดกษัตริย์ปกครองครั้นจะตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระบิดาก็ไม่ด้ จึงร่วมกันย้ายเมืองหลวงมาอยูที่ เมืองช้างค่อมศิริธัมมาราชแล้วเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า ศรีวิชัยสุวรรณภูมิ ในฐานะที่ท่านทั้งสองเป็นปฐมกษัตริย์ จึงได้ขยายเมืองและซ่อมแซมบูรณะพระบรมธาตเจดีย์ที่เริ่มชำรุดทรุมโทรมลงเป็นครั้งแรก ด้วยคุณงามความดีของพี่น้องสองกษัตริย์หลังจากที่สิ้นพระชนม์ลงประชาชนทั้งหลาย จึงได้ยกย่องเทิดทูนให้เป็นพระเสื้อเมือง และพระทรงเมืองมีฐานะเป็นเทวดาประจำเมือง และขนานนามท่านทั้งสองว่า ท้าวจตุคาม และ ท้าวรามเทพ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดังหลักฐานที่ปรากฏ คือรูปปั้นขนาดใหญ่ของท่านทั้งสองที่ประทับนั่งอยู่ข้างบันไดทางขึ้นพระบรมธาตุเจดีย์ในวิหารพระทรงม้าวัดหน้าพระธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งมีปรากฏมานานหลายร้อยปีแล้ว ในปัจจุบันนี้ชื่อเสียงเกียรติคุณของท้าวจตุคาม และท้าวรามเทพ ได้แผ่ขยายออกไปกว้างใกลทั่วประเทศ ทั้งนี้ก็ด้วยเป็นเพราะพลานุภาพแห่งอิทธิฤทธิ์ บุญญฤทธิ์ของทั้งสองพระองค์ได้ส่งผลให้ผู้ที่เลื่อมใสรัทธาบูชาสักการะประสบความสัมฤทธิพลในสิ่งที่พึงปราถนาตามจิตอธิฐานกันอย่างถ้วนหน้า จึงควรแล้วที่ทั้งสองพระองค์ได้รับการยกย่องเทิดทูนในสมญานามว่า เทวโพธิสัตว์แห่งอาณาจักรทะเลใต้ รูปแบบพิมพ์ทรงองค์ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ รุ่น บูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 นี้ พล.ต.ต.ขันพันธรักษ์ราชเดช ให้คำชี้แนะว่าให้คำนึงถึงความถูกต้องเป็นจริงตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่อีกทั้งควรจะสื่อให้ทุกคนได้รู้ข้อเท็จจริงว่า ท้าวจตุคามรามเทพ ที่มีความเข้าใจกันมาผิดๆ ว่าเป็นองค์เดียวกัน แท้ที่จริงแล้วเป็นสองพระองค์พี่น้องด้วยเหตุนี้วัตถุมงคลทุกแบบพิมพ์ที่สร้างเป็นองค์ ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ ในครั้งนี้ จึงมีการจัดสร้างโดยสื่อให้เห็นถึงความสำคัญของทั้งสองพระองค์ตรงตามหลักฐานปรากฏ



วัตถุมงคลท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ ประกอบด้วยรูปเหมือน ขนาดบูชาหน้าตัก 9 นิ้ว ฐานกว้าง 12 นิ้ว สูง 21 นิ้ว ด้านหนึ่งเป็นองค์ท้าวจตุคามประทับนั่งขัดสมาธิราบอันมีความหมายว่า ผู้สักการะจะประสบแต่ลาภยศสรรเสริญ ลาภผลพูนทวี และอีกด้านหนึ่งเป็นองค์ท้าวรามเทพประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ซึ่งก็หมายถึงผู้บูชาสักการะจะมีชีวิตที่เข้มแข็งและรุ่งโรจน์สุกใสเฉกเช่นเพชรน้ำหนึ่งทั้งสองพระองค์ได้สร้างขึ้นให้รวมอยู่ฐานเดียวกันบนบัลลังค์นาคราชเหนือกงจักรราศี ส่วนฐานชั้นแรกเป็นองค์พญาราหู 12 ตน ตามกำลังวันส่งเสริมดวงชะตา ปกป้องคุ้มครองผองภัยรอบทิศฐานชั้นที่สองรายล้อมด้วยพญานาคราช 12 ตน ให้น้ำประทานความชุ่มชื่นสดใสแก่มนุษย์และสัตว์โลกทั้งมวล (มิใช่เทพพญานาคราชนามมุจลินทร์ที่แผ่เศียรเจ็ดเศียรป้องแดด ป้องฝนให้แก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อยู่เหนือเทพพรหมทั้งหลายในจักรวาล เมื่อคราวที่พระองค์บำเพ็จเพียรกาลต่อมาจึงได้มีการสร้างพระพุทธรูปเป็นองค์พระพุทธเจ้านั่งประทับบนบัลลังค์นาคปรกเจ็ดเศียร ซึ่งก็คือพระประจำวันเสาร์นั่นเอง) ในระหว่างช่องว่างของพญานาคราชได้คั่นไว้ด้วยนักษัตรทั้ง 12 บันดาลลาภผลพูนทวีตลอดทุกๆ ปี ทุกๆ วัน นับได้ว่าพระรูปเหมือนขนาด 9 นิ้วนี้ นอกจากจะรวมความเป็นสิริมงคลไว้อย่างครบถ้วนแล้วยังมีความสวยงามแลดูเข้มขลังยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากมีน้ำหนักค่อนข้างมากจึงได้จัดทำฐานวาง ซึ่งจะทำให้ท่านหมุนองค์พระได้รอบทิศมอบให้ด้วย

นอกจากนี้ยังได้จัดสร้างขนาดหน้าตัก 5.9 นิ้ว สูง 12 นิ้ว ซึ่งมีความสวยงามเข้มขลังในอีกแบบหนึ่งแม้จะหย่อนความอลังการลงบ้าง ขนาดหน้าตัก 2 นิ้ว ลักษณะพิมพ์ทรงแบบเดียวกับขนาด หน้าตัก 9 นิ้ว ทุกประการสามารถนำตั้งบูชาไว้หน้ารถได้ และขนาดลอยองค์เล็กแบบพระเครื่องใต้ฐานอุดผงไม้ตะเคียนเก่าหลักเมือง ซึ่งมีความสวยงามคมชัดเป็นอย่างยิ่ง สร้างด้วยเนื้อทองคำ เนื้อเงิน พ่นทราย เนื้อเงินชุบสามกษัตริย์ เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองแดงชุบทองไมครอน

เหรียญสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์ ลักษณะทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.2 ซม. ออกแบบแกะพิมพ์ได้สวยงามคมชัด ด้านหน้ากึ่งกลางเป็นองค์ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ (เห็นด้านเดียว) รายล้อมด้วยเศียรของทั้งสองพระองค์อยู่ในพุ่มข้าวบิณฑ์สลับกัน พร้อมจารึกพระนามจตุคาม - รามเทพ ปรากฏเห็นเด่นชัดใต้พระนามประทับไว้ด้วยพระยันต์ โองการสูรย์จันทร์สุริยันจันทรา ด้านหลังกึ่งกลางเป็นรูปศาลหลักเมืองสาธารณะสถาน ศูนย์รวมศรัทธาของชาวนครศรีธรรมราช และทั่วไป รายล้อมด้วยนักษัตรทั้ง 12 อัน เป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดซึ่งจะบันดาล ลาภผลพูนทวี ทุกๆ ปี ทุกๆ วัน แก่ผู้บูชาสักการะรอบนอกขอบเหรียญเป็นองค์พญาราหูรายล้อม 10 คน เพื่อส่งเสริมดวงชะตา คุ้มครองผองภัย 10 ทิศ (ทั้งบนฟ้า และใต้บาดาล) เป็นผู้ชนะสิบทิศ ชนะความทุกข์โศก ชนะโรคภัย ชนะความจน ชนะศัตรูหมู่มาร ชนะทุกสรรพสิ่งสู่จุดหมายที่เป็นมหา มงคลสูงสุดในชีวิต เหรียญสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์ จัดสร้างด้วยเนื้อทองคำขัดเงา เนื้อเงินขัดเงา เนื้อนวะโลหะพิเศษผิวลายเงิน และเนื้อทองแดงนอก

พระผงสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์ ออกแบบแกะพิมพ์ได้สวยงามคมชัดอย่างยิ่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 ซ.ม. รูปแบบพิมพ์ทรงเช่นเดียวกับเหรียญทุกประการจะต่างกันเล็กน้อยที่ องค์ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ บริเวณกึ่งกลางด้านหน้าเท่านั้น พระผงสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์นับเป็นวัตถุมงคลที่ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมศรัทธาเป็นอย่างสูงในจังหวัดนครศรีธรรมราชและทั่วไปจนแบบพระผง ไม้ตะเคียนเก่าหลักเมืองมีผู้สั่งจองหมดไปแล้ว พระผงสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์ จัดสร้างขึ้น 9 ชนิดคือ เนื้อผงไม้ตะเคียนเก่าหลักเมืองปัดทอง มีโค๊ด นะ 2 ตัว พร้อมหมายเลข (หมดแล้ว) เนื้อผงมหาว่านดำปัดทอง เนื้อผงมหาว่านขาวปัดทอง เนื้อผงมหาว่านแดงปัดทอง มีโค๊ด นะ 2 ตัว เนื้อผงมหาว่านดำ เนื้อผงมหาว่านแดง เนื้อผงมหาว่านขาว มีโค๊ด นะ 1 ตัว เนื้อผงดินเผาเคลือบ สีเขียว และสีเปลืองมังคุด มีโค๊ด นะ 1 ตัว ทั้งหมดนี้ ทุกองค์มีผงไม้ตะเคียนเก่าหลักเมืองผสมอยู่ด้วยทั้งสิ้นมากน้อยแตกต่างกัน



ไม้คะเคียนเก่าหลักเมือง ที่นำมาผสมนี้ส่วนหนึ่งเหลือจากการสร้างเสาหลักเมือง ซึ่งพล.ต.ต.ขันพันธรักษ์ราชเดชเก็บรักษาไว้นอกจากนี้ท่านยังได้กำชับให้ไปขุดถอนโคนต้นตะเคียนต้นเดิมที่บ้านยอดเหลือง ซึ่งเคยถูกตัดไปทำเสาหลักเมืองและยังหลงเหลืออยู่โดยท่านได้กล่าวว่าเจ้าของเขาอยากมาอยู่ด้วย และให้นำส่วนหนึ่งมาบดเป็นผงผสมลงในวัตถุมงคลจะเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่ผู้บูชาสักการะ ด้วยเหตุนี้จึงได้กราบนิมนต์พ่อท่านวรรณ วัดเสาธงทอง พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ซึ่ง พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชให้ความเคารพนับถือว่ามีญาณสมาธิสูง สามารถนั่งทางใสสื่อถึงเทพยาดาได้ให้ไปทำพิธีขออนุญาตอันเชิญมาจึงได้รู้ว่าต้นตะเคียนต้นนี้ทั้งที่โคนต้นและที่เสาหลักเมืองมีรุกขเทวดานามว่า เจ้าแม่อินทภาณี สถิตย์อยู่จึงทำพิธีขออนุญาตขุดถอนอัญเชิญมา โดยมีชาวบ้านละแวกนั้นให้ความช่วยเหลือ เมื่อทราบว่าเป็นเจตนาของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ดังนั้นผงไม้ตะเคียนที่นำมาผสมในพระผงสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์ทุกแบบ ทุกองค์ จึงเป็นผงไม้ตะเคียนเก่าหลักเมืองแน่นอนหาใช่ไม้ตะเคียนที่พบเห็นและหาซื้อได้ตามโรงไม้ทั่วไป พระผงสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์เนื้อไม้ตะเคียนเก่าหลักเมืองปัดทอง เนื้อมหาว่านดำปัดทอง เนื้อมหาว่านแดงปัดทอง และเนื้อมหาว่านขาวปัดทอง ทุกองค์มีใบกำกับพร้อมจารึก คำอำนวยอวยพรของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชมองให้ด้วย

สำหรับวัตถุมงคลที่จัดสร้างเป็นรูปท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ ในแบบพิมพ์อื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วนั้นยังได้จัดสร้างครอบน้ำมนต์หลักเมืองมหามงคล กระถางธูปหลักเมืองมหามงคล มีดหมอเทวโพธิสัตว์ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ และผ้ายันต์อีก 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ 36 x 48 นิ้ว ขนาดกลาง 18 x 24 นิ้ว ขนาดเล็ก 8 x 12 นิ้ว



หนุมาณแผลงฤทธิ์

ในปี 2547 นี้ เป็นราศีปีวอกดังนั้นวัตถุมงคลในรุ่น บูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 จึงได้มีการสร้างวัตถุมงคลรูปแบบหนุมานขึ้นหลายพิมพ์อาทิ เหรียญ 9 หนุมาณแผลงฤทธิ์ พระผง 9 หนุมาณแผลงฤทธิ์ เหรียญหล่อหน้าหนุมาณด้านหลังหนุมาณเชิญธงและผ้ายันต์ กำเนิดหนุมาณมีอยู่ว่า นางสวาหะถุกนางกาลอัจฉาผู้เป็นมารดาสาปให้ยืนตีนเดียวเหนี่ยวกิ่งไม้อ้าปากกินลมอยู่ในป่า พระอิศวรจึงให้พระพายนำอาวุธของพระองค์ซัดเข้าไปทางปากของนางสวาหะ เพื่อให้นางมีลูกเป็นลิง โดยให้คทาเพชรเป็นสันหลังตลอดหางตรีเพชรเป็นตัวเป็นมือเป็นเท้า ส่วนจักรเพชรเป็นหัวทั้งสั่งให้พระพายดูแลนางสวาหะ พร้อมทั้งให้เป็นพ่อของวานรในครรถ์ของนางด้วย หนุมาณอยู่ในครรภ์ นางสวาหะนานสามสิบเดือนแล้วถือฤกษ์ในปีขาลเดือนสามวันอังคาร กระโดดออกทางปากมารดาแล้วแผลงฤทธิ์เหาะเหิรเดินอากาศ แปลงรูปเป็นสี่หน้าแปดกร มีกุณฑล (ตุ้มหู) ขนเพชร เขี้ยวแก้ว และหาวเป็นดาวเป็นเดือน พระพายได้ตั้งชื่อลูกตามศิวะ โองการว่าหนุมาณ นอกจากนี้พระศิวะยังได้สอนคาถาแปลงกายหายตัวพร้อมทั้งให้พรแก่ หนุมาณว่าให้มีชีวิตอมตะใครฆ่าก็ไม่ตายและหากถึงตาย เมื่อลมพัดมาต้องผิวกายก็จะฟื้นคืนชีพดังเดิม ด้วยเหตุนี้หนุมาณจึงมีอิทธิฤทธิ์มากมายทำศึกไม่เคยแพ้ใคร รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง นอกจากหนุมาณจะเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แล้วยังเป็นนักรักผู้ยิ่งยงอีกด้วย เพราะมีเสน่ห์เมตตามหานิยมอยู่ในตัว ดังนั้นหนุมาณจึงมีภรรยาหลายคนซึ่งต่างก็เคยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูรหรุมาณ อาทิ นางสุพรรณมัจฉา, นางวานริน, นางสุวรรณกันยุมา, นางบุษมาลี, นางเบญจกายมี ลูกที่เกิดจากนางสุพรรณมัจฉา คือ มัจฉานุ และจากนางเบญจกาย คือ อสุรพัด เหรียญหล่อหน้าหนุมาณ นับเป็นวัตถุมงคลที่มีความงดงาม เป็นอย่างยิ่งมีความคมลึกสะดุดตา ด้านหลังเป็นองค์หนุมาณเชิญธง พร้อมจารึกพระยันต์หะนุมานะ หัวใจหนุมาณ ลักษณะงานจัดสร้าง เป็นแบบจีเวลรี่ที่กำลังนิยม นอกจากนี้ยังได้จัดสร้างผ้ายันต์ขึ้น อีก 3 ขนาด โดยขนาดใหญ่ และกลาง รวมอยู่ในผืนเดียวกันกับผ้ายันต์เทวโพธิสัตว์ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ ส่วนผืนเล็กเป็นผ้ายันต์หนุมาณ อย่างเดียว

เหรียญและพระผง 9 หนุมาณแผลงฤทธิ์

ออกแบบแกะพิมพ์ได้อย่างประณีพิถีพิถัน จึงมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่งขนาดเหรียญ 3.2 ซ.ม. ขนาดพระผง 4.5 ซ.ม. ด้านหน้าเป็นองค์หนุมาณแผลงฤทธิ์ 9 ห่วงท่าลีลาประทับไว้ด้วย พระยันต์ หะนุมานะ หัวใจหนุมาณ นับได้ว่าช่างแกะพิมพ์มีความวิริยะอุตสาหะ เป็นอย่างสูงจึงสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้มีความสวยงามได้ในระดับนี้ ส่วนด้านหลังใช้บล๊อกพิมพ์เดียวกันกับเหรียญและพระผงสุริยันจันทราเทวโพธิสัตว์นอกจากนี้ก็ได้ใช้ชนวนมวลสารเดียวกันอีกด้วย



พระสังกัจจายน์ศรีวิชัยให้ลาภ

ลักษณะพิมพ์ทรงจัดสร้างในแบบพระสังกัจจายน์ศิลปศรีวิชัย รูปลักษณ์แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็มีความสวยงาม อย่างลึกซึ้ง จัดสร้างขึ้นสองขนาดคือ ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว และขนาดลอยองค์เล็กใต้ฐานอุดผงมหาว่าน

พระปิดตาพังพะกาฬคาบแก้ว

พังกะกาฬเกิดในสกุลชาวนา เมื่อขณะยังเป็นทารกพ่อแม่ได้ออกไปทำนาโดยวางพังพะกาฬไว้ในเปล จากนั้นได้มีพญางูเลื้อยเข้ามาหาแล้วคายลูกแก้วให้พังพะกาฬเมื่อเติบใหญ่ได้เป็นขุนศึกผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ เก่งกล้าสามารถสู้รบขับไล่ศัตรูผู้รุกรานจนพ่ายกระเจิงดังนั้น พระคณาจารย์ยุคต่อมาจึงได้จัดสร้างพระปิดตาพังพะกาฬ หรือพระปิดตาที่มีงู 1 หัวบ้าง 2-3 หัวบ้าง อยู่ในองค์พระบรรจุไว้ตามวัดวาอารามต่างๆ พระปิดตาพังพะกาฬคาบแก้ว รุ่น บูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547 จัดสร้างขึ้นสองขนาดคือ ขนาดบูชาหน้าตัก 5.9 นิ้ว และขนาดลอยองค์เล็กใต้ฐานอุดผงมหาว่าน ซึ่งทั้งสองแบบมีความสวยงามเข้มคลัง

เหรียญนามปี 13 นักษัตร

ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 ซ.ม. ทุกปีราศีออกแบบแกะพิมพ์ได้อย่างสวยงามคมชัดเหมาะสำหรับมีไว้บูชาประจำครอบครัว ซึ่งในแต่ละครอบครัวจะมีผู้เกิดในราศีต่างๆ และในแต่ละปีก็จะมีราศีปีอื่นๆ ที่ไม่โฉลกกัน จึงต้องแก้ด้วยการบูชาราศีปีที่ถูกโฉลกในเหรียญนามปี รุ่นนี้มีพิมพ์พิเศษอยู่สามพิมพ์คือ ปีมะโรงออกแบบเป็นองค์ท้าวจตุคาม - ท้าวรามเทพ (เห็นด้านเดียว) ประทับนั่ง บนบัลลังค์นาคราช ปีมะเส็งเป็นองค์พระปิดตาพังพะกาฬ และปีวอกเป็นองค์ หนุมาณแผลงฤทธิ์ จัดสร้างด้วยเนื้อทองคำ (แยกเดี่ยว) เนื้อเงิน (แยกเดี่ยว) และเนื้อทองแดงนอก (รวมชุด 12 เหรียญ)

 

ตะกรุดโทนถักหลักเมืองมหามงคล ขนาดความกว้าง 3 นิ้ว ถักด้วยเชือกไนล่อนสีน้ำตาลอ่อน และน้ำตาลเข้มตามศิลปงานถักของตะกรุดเมืองนครศรีฯ ภายในเป็นแผ่นตะกั่วจารด้วยมือเป็นพระมหายันต์นอโมโดยศิษย์สายเขาอ้อ ลูกสะกดไม้ตะเคียน นับเป็นเครื่องรางของขลังที่ควรมีไว้บูชาติดตัว ประกอบด้วย ลูกสะกดไม้ตะเคียนเก่าหลักเมือง เม็ดประคำนวโลหะ ร้อยด้วยไหมเจ็ดสี

 

 

 

 

 





ประสบการณ์จริงกับวัตถุมงคลรุ่นบูรณะหลักเมืองนครศรีฯ 2547



เมื่อเวลา 21.50 น. วันที่ 17 เม.ย. พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ มีรอสอ สารวัตรเวร สภ.อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุยิงกันตาย 2 ศพ ที่ร้านอาหารครอบครัว เลขที่ 48 หมู่ 8 ต.เวียงสระ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ. ดาวลอย เหมือนเดช ผกก. พ.ต.ท.เชี่ยวชาญ พลอยศรี รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.สมยศ แก้วบังเกิด รอง ผกก.สส. นำกำลังพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยเวียงสระรุดไปสอบสวน ที่เกิดเหตุเป็นสวนอาหารตั้งอยู่ในซอยริมถนนเอเชีย ส่วนจุดเกิดเหตุบริเวณซุ้มอาหารซึ่งสร้างเรียงรายริมสระน้ำ พบศพนายทินกร หรือ โกวัฒน์ สังข์เมฆ อายุ 46 ปี บ้านเลขที่ 62 หมู่ 4 ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ ในสภาพล้มนั่งพิงเก้าอี้ม้าหินอ่อน สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีส้ม กางเกงยีนสีดำ มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดที่ขมับขวา 1 นัด เลือดกระจายเปรอะ ใกล้กันพบศพนายมนตรี หรือโกดำ กาญจนะ อายุ 45 ปี บ้านเลขที่ 84/54 หมู่ 1 ต.เวียงสระ นอนจมเลือดในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตยีนแขนสั้น กางเกงยีนสีดำ ถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดที่ขมับขวา 1 นัด ส่วนคนเจ็บชื่อนายสราวุธ ตันติตันสกุล อายุ 53 ปี บ้านเลขที่ 467/3 หมู่ 4 ต.บ้านส้อง ถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดที่กกหูซ้ายและอกซ้ายรวม 2 นัด อาการสาหัส นำส่ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ก่อนส่งต่อ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี

จากการสอบสวนทราบว่า นายทินกร ผู้ตายรายแรกเป็นเจ้าของร้านทองพงษ์ทองดีในตลาดบ้านส้อง และทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสอง ส่วนนายมนตรี ผู้ตายอีกรายมีอาชีพเป็นผู้จัดตลาดนัดเปิดท้าย และเป็นญาติของนายชุมพล กาญจนะ อดีต ส.ส. สุราษฎร์ธานี เขต 4 พรรคประชาธิปัตย์ ส่วนนายสราวุธคนเจ็บทำธุรกิจเจ้าของเต็นท์รถยนต์ มือสอง และดูแลด้านการเงินให้กับนายมนตรี ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายและคนเจ็บทั้ง 3 ซึ่งเป็นเพื่อนกันได้นัดพบกับนายสมศักดิ์ เฮี้ยนชาตรี อายุ 46 ปี นายสุเชษฐ์ หรือบ่าว รักทิม อายุ 36 ปี และนายไก่ เฮี้ยนชาตรี อายุ 20 ปีเศษ ลูกชายของนายสมศักดิ์ ที่ร้านเกิดเหตุ โดยสั่งเบียร์และอาหารมาดื่มกิน และพูดคุยกันเรื่องธุรกิจซื้อขายรถมือสอง ระหว่างนั้นได้มีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียนมาจอดริมถนนหน้าร้าน แล้ว 1 ใน 2 คนร้ายลงจากรถเดินอ้อมเข้ามาทางด้านหลังพร้อมกับชักปืนจ่อยิงศีรษะนายทินกรที่ไม่ทันระวังตัว 1 นัด ล้มกลิ้งตกเก้าอี้เสียชีวิตคาที่ ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารก่อนแตกฮือลุกวิ่งหนีตายกันอลหม่าน และคนร้ายได้วิ่งไล่ตามไปจ่อยิงนายมนตรีที่ศีรษะล้มทรุดเสียชีวิตคาที่เป็นศพที่ 2 จากนั้นได้กระหน่ำยิงนายสราวุธ 2 นัด ล้มกลิ้งบาดเจ็บไปอีกคน หลังปฏิบัติการโหด คนร้ายได้วิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่เพื่อนคนร้ายจอดติดเครื่องรออยู่บึ่งหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวนายสมศักดิ์ เฮี้ยนชาตรี และนายสุเชษฐ์ หรือบ่าว รักทิม ที่นัดมากินอาหารกับกลุ่มผู้ตายและอยู่ในเหตุการณ์มาสอบปากคำที่ สภ.อ.เวียงสระ ใช้เวลาสอบสวนนานกว่า 4 ชั่วโมง จนกระทั่งเวลาประมาณ 04.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงปล่อยตัวทั้ง 2 กลับไป และนัดให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้งในช่วงเช้าวันเดียวกัน จากนั้นนายสมศักดิ์และนายสุเชษฐ์ได้นั่งรถฮอนด้า ซีอาร์วี สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กง 576 สุราษฎร์ธานี ออกไปจากโรงพัก โดยนายสมศักดิ์ทำหน้าที่ขับรถ เลี้ยวซ้ายออกจากโรงพักวิ่งไปตามถนนสายพระแสง-บ้านส้อง ได้ประมาณ 400 เมตร ได้มีคนร้ายขับรถกระบะมาดักรอข้างทาง ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และปืนลูกซองยิงถล่มนายสมศักดิ์ถูกกระสุนที่ศีรษะและลำตัวพรุนเสียชีวิตคาที่ ส่วนนายสุเชษฐ์ถูกกระสุนปืนลูกซองที่ไหล่ขวา แต่กระสุนไม่เข้ามีเพียงรอยจ้ำเขียวช้ำเท่านั้น ใบหูขวาฉีกขาด และลำคอด้านขวามีรอยถูกยิงมีเม็ดตะกั่วปืนลูกซองติดอยู่ในผิวหนัง 4 เม็ด ปลายคาง 1 เม็ด และกลางหน้าผากอีก 1 เม็ด จึงรีบนำส่ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ พบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกกระจายเกลื่อนจำนวน 27 ปลอก และทับรองกระสุนปืนลูกซอง 2 อัน จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนรถยนต์ของผู้ตายถูกยิงพรุนกว่า 100 รู

นายสุเชษฐ์คนเจ็บที่ถูกยิง แต่กระสุนไม่ระคายผิวหนังเล่าเหตุการณ์อย่างตื่นเต้นว่า หลังจากตนกับนายสมศักดิ์มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนและปล่อยตัวกลับ ได้นั่งฮอนด้า ซีอาร์วี ของนายสมศักดิ์ขับออกจากโรงพักมาถึงจุดเกิดเหตุ พบรถกระบะยี่ห้อ อีซูซุ สีเขียว ไม่ทราบหมายทะเบียน จอดติดเครื่องรออยู่ข้างทาง ทันใดนั้นคนร้าย 2 คน จำได้ว่าคือนายต้อยและนายช้าง ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นคนเคยรู้จักกันได้ลุกพรวดขึ้นมาจากท้ายกระบะ โดยนายต้อยถือปืนเอ็ม 16 ส่วนนายช้างถือปืนลูกซองสั้นคนละกระบอก กระหน่ำยิงใส่หูดับตับไหม้ จนรถเสียหลักพุ่งลงข้างทาง คนร้ายยังตามยิงซ้ำอีกชุดใหญ่ นายสมศักดิ์ถูกกระสุนร่างพรุนเสียชีวิตคาที่ ระหว่างถูกยิงตนยังมีสติได้คว้าพระเครื่องศาลหลักเมืองรุ่นบูรณะปี 2547 ซึ่งมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นที่ปรึกษาฝ่ายจัดสร้างและพิธีกรรมอมไว้ในปากตลอดเวลา ระหว่างถูกยิงรู้สึกเพียงเสียวแปล็บ เชื่อว่าที่ยิงไม่เข้าเพราะบารมีของพระเครื่องดังกล่าว ปกป้องคุ้มครองทำให้ รอดชีวิตมาได้ แต่ทราบผลเอกซเรย์ว่าพบหัวกระสุนฝังติดอยู่ในผิวหนังหลายเม็ด ซึ่งแพทย์จะผ่าตัดหัวกระสุนออกต่อไป นายสุเชษฐ์เปิดเผยต่อว่า สำหรับนายต้อยและนายช้างมือปืนเป็นพรรคพวกของนายทินกรเจ้าของร้านทองที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตในร้านอาหาร ระหว่างที่ตนกับนายสมศักดิ์ถูกตำรวจเชิญตัวมาสอบบนโรงพักยังเห็นนายช้างเดินผ่านหน้าห้องพนักงานสอบสวน และชี้หน้าตนด้วย เข้าใจว่านายช้างและนายต้อยคงจะเข้าใจว่าตนกับนายสมศักดิ์วางแผนลวงนายทินกรกับพวกมายิงเสียชีวิตและบาดเจ็บในร้านอาหาร จึงมาดักยิงถล่มล้างแค้นก็เป็นได้

ด้าน พล.ต.ต.สัณฐาน ชยนนท์ รอง ผบช.ภ.8 ซึ่งเดินทางมาตรวจสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับ พล.ต.ต. วรเวทย์ วินิตเนตยานนท์ ผบก.ภ.จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มของนายทินกร หรือโกวัฒน์ มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์กับกลุ่มของนายสมศักดิ์ และทั้ง 2 กลุ่มเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ อ.เวียงสระ เจ้าหน้าที่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด คาดว่าสาเหตุการยิงกันครั้งนี้ น่าจะมาจากปัญหาความขัดแย้งในเรื่องเดิม ซึ่งในพื้นที่ อ.เวียงสระ มีการก่อเหตุยิงล้างแค้นกันไปมาหลายครั้งแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนและพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว แต่มาเกิดเหตุขึ้นเสียก่อน รอง ผบช.ภ.8 กล่าวอีกว่า ในส่วนของคดีได้สั่งการให้ พ.ต.ท.สมยศ แก้วบังเกิด รอง ผกก.สส. และพนักงานสอบสวนเร่งสอบสวนปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ และสอบสวนผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมจัดกำลังคุ้มกันดูแลความปลอดภัย เพื่อป้องกันถูกตามฆ่าปิดปาก ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ พ.ต.ท. เชี่ยวชาญ พลอยศรี รอง ผกก.ป. จัดกำลังคุ้มครองพยานในคดี ขณะเดียวกัน มอบหมายให้ พ.ต.อ.รณพงษ์ ทรายแก้ว รอง ผบก. ศสส.ภ.8 จัดชุดสืบสวนติดตามจับกุมมือปืนที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญประชาชน และเร่งปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพล รวมทั้งตรวจค้นอาวุธสงครามที่คาดว่ายังมีหลงเหลืออยู่ในพื้นที่

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17642 วันพฤหัสบดี ที่ 11 พฤษภาคม 2549